Title เท่ห์ซ้า…
 
 
**********************
 ขออะไรที่เย็นๆ บ้าง
 
นุ่นผู้กำลังทุรนทุรายอยู่กับไฟ นึกอยากแสวงหาความเย็นมารดใจที่รุ่มร้อน ณ วัดถ้ำหมีนอน จึงชวนเราไปเป็นเพื่อน แหม…เรื่องเย็นใจเช่นนี้ ก็ชอบเซ่ะ ยากที่จะปฏิเสธ แม้สามนิ้วที่มือขวายังถูกพันผ้ากอสไว้ จากการไปจี้หูดมาก็ตามเถอะ…(ให้นุ่น)ลุย(ล้างจาน)
 
ครั้งนี้เราไปกันสายวันเสาร์ นัดกันที่เดิม คือแถวสถานีรถไฟฟ้าอโศก เราเลทไปครึ่งชม. เพราะน้องขับรถพาไปส่ง แต่ดันเลยที่หมาย เลยต้องไปวนรถกลับมาใหม่
 
พวกเราแวะซื้อของเข้าวัดที่ท๊อปส์แถวบ้านนุ่น (ลาดกระบัง) และกินข้าว+ซื้อกับข้าวที่มอเตอร์เวย์ก่อน จากนั้น…ได้เวลาของนักซิ่งนุ่น…สู่วัด
 
 
 ไม่มีอะไรอยู่ยง
 
ถึงวัดราวบ่ายโมงกว่าๆ มาวัดคราวนี้ มากับฝนจริงๆ เสาร์ อาทิตย์ จันทร์ เจอฝนตลอด ก็หน้าฝนนิ ถ้าไม่เจอคงแปลก แต่เอาเหอะ จะฝนฟ้า ฝนกรด ฝนดาวตก ฝนเทียม หรือฝนไหนที่ทำให้สุขใจหรือเจ็บช้ำ แต่เราก็ควรหมั่นฝนกิเลสให้หดไปจากใจอยู่เนืองๆ…จริงไหมนุ่น?
 
อะไรๆ ก็ไม่เที่ยง เจ้าจิมมี่สุนัขประจำวัดได้ไปสู่สุคติซะแล้ว ไส้กรอกที่ซื้อมาฝาก เลยต้องเป็นของเจ้าใบ้ไปแต่เพียงตัวเดียว ส่วนอุปัฐากจอห์นนี่ก็ไม่อยู่แล้ว แต่มี ป้านิด ป้าของคุณอั๋น พี่ชายทางธรรมของนุ่น มาดูแลพระและวัดแทน และก็มี พี่ชมมณี สมาชิกศิษย์ใหม่ของพระอาจารย์ที่พวกเราได้ขับรถไปรับที่สามแยกประแสร์ มาร่วมปฏิบัติธรรมด้วยอีกคนในตอนเย็นวันนั้น
 
 ท่านมาจากแดนกิมจิ
 
มีพระชาวเกาหลีที่มีฉายาว่า ภิกขุ มานิตา (Bhikkhu Manita) มาจำพรรษาที่วัดด้วย เห็นพระอาจารย์ว่า ท่านมาอยู่หลายวันแล้ว แถมอดอาหารมานานถึง 49 วัน (วันที่พวกเรากลับ ท่านอดเป็นวันสุดท้าย)
 
เมื่อสมัยเรียนป.ตรี ไอ้เราก็พอจะคุ้นหูกับภาษาอังกฤษสำเนียงของหลายๆ ชาวมาบ้าง แต่สำหรับเกาหลียังไม่เคยเจอ จึงอึ้งเอ๋อพอสมควร ตอนได้สนทนากับท่าน ก็หันมามองหน้านุ่นหลายที เป็นนัยถามว่า ท่านหมายถึงไรอะ แต่อุปสรรคในการสื่อภาษา ไม่เป็นปัญหาในการสื่อใจ
 
เราได้รับแจก ใบอนุโมทนาคาถา และสร้อยคอลูกประคำจากท่าน ธรรมะที่เราได้รับ และพอจะสรุปได้จากท่าน คือ No future, no passing, only now is here. นั่นก็คือ การมีสติอยู่กับปัจจุบัน
 
 จัดระเบียบใจรอบแรก
 
พระอาจารย์ให้พวกเรามารวมตัวกัน หลังทุ่ม
คอมพิวเตอร์โทรมๆ อย่างเราเริ่ม reboot เครื่องเตรียมรอ พระอาจารย์เริ่มทำการ scan โดยถามแต่ละคนว่า ทาน ศีล ภาวนา เป็นอย่างไรกันบ้าง จากนั้น ท่านก็ทำการ defragment ด้วยการเทศน์ถึงรายละเอียดของบุญทั้งสามตัวนั้น และตบท้ายด้วยการลงโปรแกรม anti virus กิเลสให้ ด้วยการทำกรรมฐาน
โอ้ว…ได้ผล ไฟล์ในเครื่องที่กระจัดกระจาย กระจุย ยุ่งเหยิง เริ่มเข้าที่เข้าทาง เป็นระเบียบขึ้น เครื่องทำงานได้ราบเรียบขึ้น คืนนั้นเครื่องเลยหลับสนิท ไม่มีสะดุด แม้แต่กับความฝัน จนถึงตีสี่ครึ่ง ได้เวลาเปิดเครื่องเพื่อ run program ในวันนั้นต่อไป
 
 อิ่มบุญ
 
ก่อนถวายเพล เรากับนุ่นได้ถวายของที่ซื้อมากับพระอาจารย์ด้วย แม้จะไม่มากมายอะไรหลายแสนบาท แต่ก็รู้สึกอิ่มเอมใจยิ่งกว่าได้เงินล้าน
 
 
 แค่สัปหงก
 
ครั้งนี้ พวกเราไม่ต้องมานั่งคิดเรื่องกับข้าว เพราะมีป้านิดอยู่ ก็เลยได้กินน้ำพริกกะปิฝีมือป้าเค้า กับ แกงพแนงหมูที่พวกเราซื้อมาจากมอเตอร์เวย์ ขณะโซ้ยข้าว ป้านิดผู้ถือศีลห้า ก็ทยอยนำอาหารที่เหลือจากพระฉันมาให้พวกเราสามคนผู้ถือศีลแปด เป็นระยะๆ จนเต็มโต๊ะไปหมด ก็ได้กินกันอย่างอิ่มเลยอะ
เอาล่ะสิ พอย่างเข้าเวลาบ่าย เมื่อท้องอิ่ม หนังตาเริ่มหย่อน เป็นของธรรมดาที่มาเป็นแพ็คคู่ อ่านหนังสือธรรมะไป ก็สัปหงกไป แต่ไม่คิดจะเดินไปเอนกายลงนอนที่ศาลา ก็ได้แต่ต่อสู้กับมันไป ความง่วงไม่ใช่ของเรา ไม่มีอะไรเป็นของของเราสักอย่าง เดี๋ยวมันก็หายไป แล้วก็เป็นดังว่าจริงๆ พอได้สัปหงกคอแทบหักแรงๆ ปั๊บ หายง่วงเลย
เวลาส่วนใหญ่ก็หมดไปกับการอ่านหนังสือ แต่ก็พยายามกำกับทุกอิริยาบถด้วยสติ
 
 จัดระเบียบใจรอบสอง
 
หลังทุ่ม ได้เวลา defragment ใจรอบสอง ธรรมะหลักๆ ที่ได้ในคืนนั้น คือ…
 
  • ทุกสิ่งทุกอย่างล้วน อนิจจัง ไม่ว่าจะเป็นตัวเรา ความคิด ความทุกข์ หรือแม้แต่ความสุข
  • หมั่นพิจารณาความตายบ่อยๆ จะช่วยอัพเกรด พรหมวิหารสี่ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • การให้อภัย เป็นทานที่ยิ่งใหญ่และให้ได้ยาก
  • จงมีชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท
 
นั่งทำกรรมฐานมาสองคืน พ่ายแพ้แก่ทุกขเวทนาที่เรียกว่า ความปวด (รอถึงจุดที่มันจะดับไม่สำเร็จ) อย่างราบคราบ แต่ตั้งใจไว้ว่า สักวันจะข้ามพ้นมันไปให้ได้ ด้วยการเอาชีวิตเข้าแลก
ก่อนแยกย้ายกันไปพักผ่อน พระอาจารย์ถามพี่ชมมณีว่า ไม่มีอะไรจะถามรึ พี่เค้าตอบว่า ปฏิบัติแล้วยังไม่ได้อะไร เลยไม่รู้จะถามอะไรค่ะ พระอาจารย์ตอบกลับแบบให้ข้อคิดว่า นั่นแหละ เรามาปฏิบัติเพื่อไม่ต้องการให้มีอะไร โหย…เด็ด
แล้วเรามาปฏิบัติเพื่ออะไรละนี่ ต้องกลับมาพิจารณาใหม่ซะแล้วสิ
 
 สุขใจ
 
แม้จะสามารถหลบหลีกไข่เจียวกับดักระเบิดของนุ่นไปได้สำเร็จ แต่ในที่สุดก็ต้องมาเจอไข่เจียวอาบแดดพี่ชมมณี ถึงจะออกสีแทนมากไปหน่อย แต่ก็อร่อยใช่ย่อยนะ
ก่อนมาที่วัด เผอิญได้คุยกะหมวย มันเลยฝากชุดเวชภัณฑ์มา ให้ช่วยนำไปทำบุญด้วย 6 ชุด หลังจากปรึกษานุ่น ก็ตัดสินใจเอาไปแค่ 3 เกรงจะแบกไม่ไหว ส่วนติ๊ก น้องสาวในลำไส้ใหญ่ ก็ฝากปัจจัยมาร่วมด้วย 300 บาท แล้วก็ช่างพอเหมาะพอเจาะเหลือเกิน ที่มีพระไทยมาจำวัตรอยู่ที่นี่สองรูป (ไม่รวมภิกขุ มานิตา) รวมพระอาจารย์ด้วยเป็นสามรูปพอดี ก็เลยลงตัวทั้งเวชภัณฑ์และปัจจัย
 
 ทำใจอยู่กับทางโลก
 
เนื่องจากนุ่นติดธุระทางโลก ต้องเร่งรีบกลับไปเคลียร์ เธอกะว่าจะออกจากวัดราวบ่ายโมง เพื่อกลับให้ทันสี่โมงเย็น แต่พอเอาเข้าจริง เพลินกับการชาร์ตแบตของพระอาจารย์ไปหน่อย กว่าจะออกจากวัดได้ก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายสอง แต่ด้วยฝีเท้าเหยียบคันเร่งที่ไม่มีใครเหมือน (นั่งไปก็ เสียวโว้ยในใจไปด้วย) ทำให้นุ่นส่งเรามาขึ้นรถเมล์ (ไม่ใช่ขึ้นเครื่องบินนะ) ที่สุวรรณภูมิได้ในเวลายังไม่บ่ายสามครึ่งดี ดูความสามารถเธอดิ
แต่ขอโทษเถอะ เวลาที่เราใช้กลับบ้าน จากสุวรรณภูมิถึงคลองสาน ยังนานกว่าจากระยองมาสุวรรณภูมิซะอีก นี่แหละหนา…กรุงเทพฯ…ในชั่วโมงที่ไม่ได้ใช้บริการรถไฟฟ้า!
 
กันยา ณ เดือนเก้า
21/09/07