น่าจะเป็นครั้งที่ 6 แล้ว สำหรับงานแสดงธรรมอันยิ่งใหญ่ (ขึ้นเรื่อยๆ) ของชมรมกัลยาณธรรม
 
 
*************************
 
 
แต่ที่แน่ๆ การจัดงานที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ วิทยาเขต บพิตรพิมุข มหาเมฆ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว คงเพราะด้วยความศรัทธาและเชื่อมั่นต่อชมรมกัลยาณธรรม ของ ผศ. อุ่นใจ ลิมตระกูล รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร ของที่นี่ จึงให้การสนับสนุนเต็มที่
 
เราก็เหมือนเคย ไม่พลาดที่จะมาร่วมบุญ รับฟังธรรมตามกาล เคยบอกแหม่ม ยัยจัมมัยไว้ตั้งแต่งานที่แล้วว่า ครั้งหน้า ถ้ามีเวลา ให้มาฟังดู
 
25 มีนาคม 2550 ชมรมฯ มีโอกาสได้ผู้ร่วมฟังหน้าใหม่เพิ่มอีกคน…
 
คนที่ลงทะเบียนไว้ทางไปรษณีย์ต้องมาก่อนเวลา 7.30 น. เราเลยนัดแหม่มไว้ราว 7 โมงเช้า เธอมีต่อรอง ขอเป็น 7.10 แหม ดู๊ดู ตั้งใจจะทำบุญทั้งที ยังมีต่อรองอีก
 
เนื่องจากเธอขี้เกียจตื่นเช้า เลยต่างคนต่างมา ไอ้เราก็มาตั้งแต่ยังไม่ 7 โมงดี แหม่มบอกให้รอด้วย จะได้นั่งด้วยกัน ข้าวเช้ายังไม่ลงท้อง คิดจะไปต่อคิวรับโจ๊ก กับ ข้าวต้ม ก็ไม่ได้ เพราะต้องใช้คูปองที่ได้จากลงทะเบียน เลยได้แต่นั่งรอที่อัฒจรรย์ของสนามบอลหลังซุ้มลงทะเบียน นั่งทำสมาธิ พิจารณาใจไปเรื่อยๆ เห็นสมควรแก่เวลา เดินไปดูซะหน่อยว่ามาหรือยัง พลันสายตาก็ไปกระทบกับแม่ชีท่านหนึ่ง อ่ะ แม่แอ๊ด ที่วัดบ้านเพ นี่หน่า สอบถามได้ความว่า มากับพี่พร ได้เจอพี่พร คุยกันยกใหญ่ คุยไปคุยมา พูดถึงพี่เปิ้ล พอเราหันไปมองคนที่กำลังทยอยกันมาลงทะเบียน ก็เห็นพี่เปิ้ลพอดี วุ้ยอายุยืนจริงพี่เรา
 
เลยได้เจอแก๊งค์วัดบ้านเพ ที่จ.ระยอง
ไม่รู้แหม่มมาถึงกี่โมง รู้แต่เริ่มหิว หลังจากลงทะเบียนรับบัตรเลขที่นั่งพร้อมคูปองแล้ว (หนังสือกับซีดี ได้รับแจกตอนงานเลิก) พวกเราพากันไปต่อแถวรับโจ๊กมาหม่ำ อิ่มแล้ว ก็ต้องต่อด้วยน้ำ แหม่มเดินไปรับน้ำเผื่อ ระหว่างยกแก้วซดน้ำ เอ คนตักน้ำแข็งหน้าคุ้นๆ อ้าว เพื่อนร่วมกลุ่มน้องใหม่ตอนปี 1 ที่มหาลัยนี่เอง ชื่อไรหว่า ดันจำไม่ได้ (เธอก็คงจำเราไม่ได้เหมือนกัน เพราะต่างคนต่างไม่เอ่ยถึงชื่อของอีกฝ่าย 555) ไม่ได้เจอไม่ได้ติดต่อกันมาตั้ง 20 ปี ก็ลืมเป็นธรรมดาสิ ถ้าเป็นนักจำอัจฉริยะก็ว่าไปอย่าง อนุโมทนากับเพื่อน ที่อาสามาเป็นธรรมบริกร
 
เอ้อ งานนี้ได้เจอผู้คนในความทรงจำเยอะดีแฮ่ะ
 
อีกคน…ที่ในที่สุดก็โดดเรียนขับรถ (อีกแล้ว…จนคนสอนบ่น) มางานจนได้คือ เอก
 
 
ใกล้เวลาแสดงธรรมแล้ว พวกเราได้นั่งแถว ฟ 46 กับ 47 ที่นั่งริมสมใจยัยแหม่ม แต่เสียใจด้วยที่ แอร์ตัวนั้น ข้างแถวที่นั่ง…เจ๊ง เลยร้อนกันระนาวทั้งแถว ฟ.ฟัน รวมไปถึงแถวหน้าและหลัง ฟ.ฟัน ที่ไม่น่าฟัน (Fun) ซะแว้ว
 
เอาเหอะ ถึงแอร์จะเจ๊ง แต่ธรรมะที่พวกเราได้ฟัง ก็เจ๋ง ดับความร้อนทำให้ใจเย็นขึ้นได้
 
หลังจาก ผศ. เฉลิม มัติโก อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีกรุงเทพ กล่าวเปิดงาน โดยมี ผศ. อุ่นใจ ลิมตระกูล กล่าวรายงานแล้ว
 
 
องค์บรรยายท่านแรกคือ พระอาจารย์มานพ อุปสโม แห่ง วัดนายโรง กรุงเทพฯ ในหัวข้อ "จิตเป็นนาย"
 
  • เข้าถึงธรรม คือ การเข้าถึงใจของตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ใจ สุข ทุกข์ อยู่ที่ใจ
  • ปัญหา เกิดขึ้นเมื่อ มีสิ่งข้องเกี่ยวกับใจ หรือ ใจไปข้องเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ หากใจหนักแน่น ก็จะไม่ทุกข์ แต่หากหวั่นไหว ก็จะตรงกันข้าม
  • ความหวั่นไหวมี 2 ทาง คือ ยินดี พอใจ ชอบใจ และ ไม่ยินดี ไม่ชอบใจ ขัดเคือง 2 ประเด็นนี้เองที่ทำให้เราเป็นทุกข์
  • เมื่อเกิดความอยาก ก็เกิดการแสวงหา > แก่งแย่ง > หวาดกลัว > ใจเป็นทุกข์ (ทุกข์เพราะความชอบใจเป็นเหตุ)
  • ทุกปัญหาของชีวิต เกิดเพราะความขัดใจ
  • ปกติของใจ คือ การรับรู้ และ รู้สึก (ทางอายตนะทั้ง 6 : ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)
  • ใจของเราที่ไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ เรียกว่า ใจรู้สึก
  • ใจยินดี ยินร้าย เพราะ ไปดำริว่า สิ่งนั้นน่าพอใจ ไม่น่าพอใจ
  • ทำอย่างไร ให้ใจยินดี ยินร้าย > ต้องเข้าถึงใจ
  • เรามักไม่มองใจ แต่ไปมองสิ่งที่ใจไปรับรู้
  • ถ้ารับรู้ แล้วรีบดูใจ เรียกว่า เราดูใจ เราเข้าถึงใจเราอยู่
  • เมื่อดูใจ เราก็ไม่ได้ดูสิ่งที่ใจไปรับรู้
  • การมองใจนี่แหละ แก้ปัญหาทางใจ (ชอบใจ ข้องใจ)
  • สิ่งที่มองเห็น เมื่อดูใจ คือ ความว่างเปล่าของใจ เพราะความรู้สึก เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ดับทันที
  • การมองเห็นความไม่มี (อนัตตา สุญญตา) นั่นคือ การเข้าถึงใจอย่างแท้จริง
  • กฎแห่งความจริง > การเปลี่ยนแปลงไปของทุกสิ่ง / การคงทนอยู่ไม่ได้ของทุกสิ่ง / การแตกดับไปของทุกสิ่ง (ไตรลักษณ์)
  • การมองใจ ได้ประโยชน์สองทาง คือ เห็นใจตัวเอง และ เห็นสิ่งที่มาปรากฏกับใจ
  • ถ้าดูใจทัน (เห็นไตรลักษณ์) ปัญหาต่างๆ ก็จะหมดไป เกิดความมหัศจรรย์ทางใจ
  • ปฏิบัติธรรมอย่างไรก็ตาม ปลายทางคือ การเข้าถึงใจ
  • สิ่งใดสิ่งหนึ่ง (จากอายตนะ 6) เกิดขึ้น (ที่ใจ) สิ่งนั้นย่อมดับ (จากใจ) ไปเป็นธรรมดา
  • เกิด > สิ่งที่มาปรากฏให้ใจรับรู้
  • ดับ > เมื่อการรับรู้หมดไป
  • รูป > สิ่งที่มากระทบ (ทางอายตนะ 6)
  • นาม > ใจรู้สึก
  • ใครเห็นรูปนามได้ คนนั้นเข้าถึงธรรม
  • การจะเข้าถึงใจได้ ต้องหมั่นสังเกต (หมั่นเจริญสติ มีสัมปชัญญะ)
  • ถ้ามองอะไรแล้ว ส่งใจไปกับสิ่งนั้น ใจจะเป็นทุกข์
  • ถ้ามองเข้าไปที่ใจแล้ว เราจะหยุดส่งใจไปกับสิ่งนั้น
(ขณะนี้ทางสำนักสงฆ์เขาดินหนองแสง ต.เขาวงกต อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี ต้องการปัจจัย
เพื่อสร้างศาลาปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ "ธรรมศาลา 84 พรรษา ราชนครินทร์"
(โดย สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
ได้รับพระราชทานนาม ในวโรกาสที่พระองค์จะเจริญพระชนมายุครบ 84 พรรษา ในปีนี้) ให้แล้วเสร็จ
ผู้มีจิตศรัทธาอันเป็นกุศลสามารถโอนเงินเข้าบัญชี
พระมานพ อุปสโม เพื่อการก่อสร้างศาลาปฏิบัติธรรม
ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) สำนักต้นสน บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 001-2-06255-1
ติดต่อได้ที่โทร.0-2651-8761)
หลังจากพระอาจารย์นำเจริญสติ และจบพิธีถวายสังฆทานแล้ว ราว 10.30 น. ก็เป็นเวลาของ…
 
 
ดร.สนอง วรอุไร กับหัวข้อ "ชนะมาร"
 
  • แค่คิดว่าจะ "ชนะมาร" เราก็แพ้แล้ว เพราะ อัตตา ดังนั้น ชนะมารไม่มี มีแต่ การอยู่กับมารอย่างรู้เท่าทัน
  • มนุษย์ทุกคน เกิดมาต้องเจอมาร
  • มาร คือ สิ่งขัดขวางไม่ให้เราทำความดี
  • มารมี 5 ประเภท
    1. กิเลสมาร สิ่งเศร้าหมองทั้งหลาย (อุปกิเลส 16) โดยมี ราคะ โทสะ โมหะ เป็นหัวหน้าใหญ่
    2. ขันธมาร รูปขันธ์ (สิ่งที่จับต้องได้) นามขันธ์ (วิญญาณ)
    3. อภิสังขารมาร  ความคิดปรุงแต่ง มี 3 ฝ่ายคือ ฝ่ายบุญ ฝ่ายบาป และฝ่ายไม่บุญไม่บาป
    4. เทวปุตตมาร เทวดาเป็นมาร ขัดขวางไม่ให้ข้ามแดนกาม
    5. มัจจุมาร ความตายเป็นมาร
  • ปัญญา (ภาวนามยปัญญ) ทำให้เราอยู่กับมารได้อย่างเท่าทัน สุตมยปัญญา และ จินตมยปัญญา ใช้นำชีวิตแล้ววิบัติ ยังหนีไม่พ้นมาร
  • การเจ็บไข้ได้ป่วย เกิดจาก ไม่ออกกำลัง / ความเพียรมากไป / ฤดูกาลเปลี่ยน / การกระทำของตัวเอง > อกุศลกรรม > ขันธมาร
  • หากได้ญาณ 4 ตัวสุดท้าย (โคตรภูญาณ [เป็นหัวต่อระหว่างภาวะปุถุชนและภาวะอริยบุคคล] / มรรคญาณ / ผลญาณ / ปัจจเวกขณญาณ) ของโสฬสญาณ (ญาณ 16) ที่จัดอยู่ในวิปัสสนาญาณ จะไม่ตกเป็นเบี้ยล่างของมาร
  • มารยังมีอำนาจเหนือรูปขันธ์
  • อนุปาทิเสสะ > ทิ้งรูป ทิ้งนาม อวิชชาหมด รูปดับ นามดับ
 
ราว 11.30 พักทานอาหารเที่ยง ครั้งนี้มีอาหารให้เลือกถึง 5 อย่าง คือ เจ > ข้าวผัดธัญญทิพย์ จับฉ่ายพลังผัก ไม่เจ > ก๋วยเตี๋ยวหลอดทรงเครื่อง ผัดฉ่าขาสุกร และหมูทอดกระเทียมหอม เราเลือกไม่เจ ที่มีหมูน้อยที่สุด คือ ก๋วยเตี๋ยวหลอด แหม่มเดินตามต่อจากเรามาติดๆ
 
แหม่มสายตาดี เพราะคอนแทคเลนส์ ดันเหลือบไปเห็นน้ำสีแปลก ที่ไม่ใช่น้ำเปล่าหรือน้ำชา ณ จุดบริการน้ำดื่ม ที่เพื่อนเรายืนให้บริการอยู่ ด้วยความอยากรู้ ขนาดเดินจะเข้าไปถึงหอประชุมแล้ว อุตส่าห์เดินย้อนกลับลงมา เพื่อค้นหาคำตอบให้ได้ว่า มันคือน้ำอะไร
 
ได้ทักทายกับเพื่อนที่กำลังยืนหม่ำก๋วยเตี๋ยวหลอดอยู่บนถังน้ำแข็งอีกหน เธอเฉลยว่า มันคือ น้ำดอกอัญชัน นั่นเอง จิบทีเดียวรู้เลยว่า ใส่ใบเตยด้วย น่าเสียดายที่เอามาแจกตรงมุมปลอดคน (แต่ไม่พ้นตาเหยี่ยวตีนกายัยแหม่ม) เลยไม่ค่อยมีคนได้มีโอกาสลิ้มรสความแปลก
 
การบรรยายธรรมภาคบ่าย เริ่มขึ้นเกือบบ่ายโมง โดยช่วงแรกเป็นหน้าที่ของ…
 
พระอาจารย์สนอง กตปุญโญ แห่ง วัดสังฆทาน จ.นนทบุรี ในหัวข้อที่เราสนใจเป็นพิเศษ คือ "มรณานุสติ"
 
  • คนที่ระลึกถึงความตายบ่อยๆ จะเป็นคนที่เสียสละ
  • ร่างกายเหมือนรถ ใจคือคนขับ สักวันรถก็ต้องถูกเปลี่ยน
  • มรณานุสติ เป็นหนึ่งในกรรมฐาน 40 (มรณานุสสติกรรมฐาน > ระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์)
  • ธรรมบางอย่าง เข้าใจได้ด้วยกรรมฐานบางอย่าง
  • ธรรมโอสถ > โพชฌงค์ 7
  • มนุษย์ทุกวันนี้เร้าร้อน เพราะไม่รู้จักปล่อยวาง
  • เพื่อนแท้ ที่ตามติดเราไปทุกภพทุกชาติ คือ บุญ บาป
  • สมบัติติดตัวที่แท้จริง คือ อริยทรัพย์
  • ทุกวันนี้ คนเรายังถือตัวถือตนเป็นใหญ่
  • แต่สุดท้ายแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างต้องแตกสลาย นั่นคือ ไม่มีตัวตน
  • จะไปนิพพาน ต้องเห็นความไม่แน่นอนของขันธ์ 5 ให้ได้
  • อายุขัยคนเราไม่เกิน 100 ปี ต้องสร้างบารมีจึงจะต่ออายุได้
  • การจะเข้าถึงธรรมได้ ต้องมีครูบาอาจารย์คอยชี้ทาง
  • หากละ สักกายะทิฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส (ในสังโยชน์ 10) ได้ ถือเป็นอริยบุคคล
  • สารพัดโรคที่เกิดกับมนุษย์ทุกวันนี้ เป็นเพราะอาหารกายมากไป แต่อาหารใจไม่มี
พระอาจารย์สนองมีเมตตานำปฏิบัติธรรม โดยการพิจารณา เกศา(ผม) โลมา(ขน) นขา(เล็บ) ทันตา(ฟัน) ตโจ(หนัง) กลับไปกลับมาจนใจสงบ
(ขณะนี้ ทางวัดสังฆทาน กำลังรวบรวมรายชื่อให้ได้ 50,000 ชื่อ
เพื่อสนับสนุนให้ รายการวิทยุชุมชน สังฆทานธรรม ทางคลื่น FM 89.25 MHz.
เป็นรายการวิทยุเพื่อพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นการถาวร เพื่อขอบเขตการกระจายเสียงจะได้ครอบคลุมกว้างไกลยิ่งขึ้น
ทำให้การเผยแผ่ธรรมะและข่าวสารที่มีประโยชน์สู่ประชาชนได้อย่างเต็มที่มากขึ้น
ผู้ต้องการสนับสนุน สามารถถ่ายสำเนาบัตรประชาชนแล้วลงชื่อรับรองสำเนา ทั้งขีดค่อมและเขียนข้อความ
“รับรองสำเนาถูกต้อง ใช้เพื่อสนับสนุนการตั้งสถานีวิทยุสังฆทานธรรม FM 89.25 MHz” ท่านละ 1 ชุด
ไปยัง มูลนิธิพุทธอเนกประสงค์วัดสังฆทาน ต.บางไผ่ อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทร. 0-22447-0799, 0-2447-0800, 0-2447-2363 แฟกซ์ 0-2447-2784)
 
ราวบ่ายสอง พักทานของว่าง การรับแจกของว่าง ใช้วิธีการเดียวกับงานครั้งที่แล้ว ที่ธรรมศาสตร์ คือ นักศึกษาอาสาจะส่งถุงเสบียงให้หัวแถวส่งต่อไปยังปลายแถว เทคนิคเดียวกัน แต่ของว่างต่างกัน ของว่างบ่ายนั้นมีเพียงขนมปังฟาร์มเฮ้าส์ ไส้สารพัดถั่ว (ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเขียว) ให้เลือก ไม่มีน้ำผลไม้ หรือน้ำชากล่องใน Snak Box (เลยทำให้คอแห้งมาก จนต้องดื่มน้ำไปสองถ้วยเต็มๆ หลังงานเลิก)
 
ช่วงสุดท้ายของภาคบ่าย ตามหมายกำหนดการเดิม จะเป็นการแสดงธรรมของ พระอาจารย์วัลลภ ชวนปัญโญ แห่ง วัดสุวรรณประสิทธิ์ กรุงเทพฯ แต่ด้วยเหตุอันใดไม่ทราบ ทางชมรมฯ ไม่ได้แจ้งไว้ (หรือแจ้ง แต่เราไม่รู้) ถูกเปลี่ยนเป็นการตอบปัญหาธรรม โดย ดร.สนอง อีกครั้ง (ติดตามคำตอบของคำถามได้ที่เว็บไซต์ของชมรมฯ www.kanlayanatam.com)
 
น่าจะสักประมาณ เกือบ 45 นาทีก่อนจบการตอบปัญหา เหมือนถูกกลั่นแกล้ง จากที่ร้อนระดับมือโบก กลายเป็นร้อนระดับพัด(กระดาษ)โบก แอร์ตัวถัดจากแอร์เจ้ากรรม ถูกปิดไปซะอีก เพราะน้ำรั่วหนัก ได้ทดสอบความอดทนกันเพิ่ม
 
เมื่อเสร็จสิ้นพิธีการทั้งหมดแล้ว ทพญ. อัจฉรา กลิ่นสุวรรณ์ ประธานชมรมกัลยาณธรรม กล่าวขอบคุณ และปิดงานเหมือนเช่นเคย แต่ครั้งนี้คุณหมอ ขอร้องให้ผู้ร่วมงานลุกออกจากหอประชุม ทีละสองแถว เพื่อไม่ให้เกิดความชุลมุน ตอนรับของแจก
 
เจ้าหน้าที่เลยแจกถุงธรรมกันได้อย่างสบายๆ โดยไม่มีการเบียดเสียด ยื้อแย่งอย่างทุกครั้งที่ผ่านมา
 
หลังเลิกงานแล้ว เราถามแหม่มว่า ครั้งหน้าจะมาอีกมะ? (ถามหยั่งเชิง โดยมีแอร์เจ๊งสองตัว กับผู้คนมากมายหลายพันเป็นบททดสอบ)
 
เธอตอบว่า "ก็มาได้"
 
ตอบอย่างงี้ แปลว่า จะมาไหมเนี่ย?
 
 
กันยา ณ เดือนเก้า
28/03/07